ท่านผู้ถือหุ้นทุกท่าน
บริษัท เอสจีเอฟ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เริ่มเปลี่ยนมาทำธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรายย่อยตั้งแต่ต้นปี 2560 เป็นต้นมา บริษัทฯ มีนโยบายเน้นสินเชื่อรายย่อยประเภทสัญญาเช่าซื้อภายใต้แบรนด์ “SGF เช็คอินเงินด่วน” มีการวางรากฐานธุรกิจสินเชื่อรายย่อย (เช่าซื้อรถยนต์) ในหลายๆด้าน และวางระบบงานเพื่อขยายธุรกิจสินเชื่อรายย่อยไปทั่วประเทศ
ในต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ทั่วโลกประสบปัญหาการระบาดของโรคไวรัส COVID-19 หลาย ๆ ประเทศต่างออกมาตรการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ดังกล่าวรวมทั้งประเทศไทย การมีมาตรการล็อคดาวน์ในบางพื้นที่ ทำให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมหดตัว ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น แม้ภาครัฐจะพยายามกระตุ้นผ่านการใช้จ่ายของภาครัฐ แต่การฟื้นตัวในไตรมาส 3-4 ก็เป็นไปอย่างช้า ๆ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น รวมถึงรายได้ครัวเรือนที่เปราะบางและไม่แน่นอนสูง ยอดจำหน่ายยานยนต์ที่หดตัวจากกำลังซื้อที่ลดลง และความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลต่อผลประกอบการและความเชื่อมั่นที่ลดลง สร้างแรงกดดันต่อการลงทุน รวมถึงการจ้างงานที่เริ่มเปลี่ยนจากการจ้างพนักงานประจำไปเป็นแบบชั่วคราวมากขึ้น บริษัทฯได้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นมาโดยตลอด บริษัทฯจึงมีการปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อควบคุมความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ การเพิ่มเงื่อนไขให้มีการตรวจสอบเครดิตบูโรของลูกค้า การปรับเปลี่ยนวิธีการตรวจสอบคุณภาพลูกค้า รวมถึงการควบคุมยอดการให้สินเชื่อให้สัมพันธ์กับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ในขณะเดียวกัน บริษัทฯมีการปรับกลยุทธ์ในการจัดเก็บหนี้เพื่อให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น ซึ่งจากนโยบายดังกล่าว ทำให้ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการให้สินเชื่อเช่าซื้อรายย่อย (เช่าซื้อรถยนต์) ภายใต้แบรนด์ “SGF เช็คอิน เงินด่วน” ลดลงจาก 904.15 ล้านบาทในปี 2562 เป็น 511.11 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 43.47% ณ สิ้นปี 2563 บริษัทฯมีลูกหนี้สินเชื่อเช่าซื้อรายย่อยคงค้างรวม 1,572.97 ล้านบาท สำหรับสินเชื่อเงินกู้ บริษัทฯไม่มีการให้สินเชื่อใหม่สำหรับธุรกิจดังกล่าว มีเพียงลูกค้ารายเดิมทยอยผ่อนชำระ ทำให้บริษัทฯ มีปริมาณสินเชื่อรวม ณ 31 ธันวาคม 2563 ลดลงจาก 2,002.43 ล้านบาทในปี 2562 เป็น 1,824.96 ล้านบาทในปี 2563 คิดเป็นลดลง 8.86%
ในด้านมาตรการการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไวรัส COVID-19 นั้น บริษัทฯได้ปฏิบัติตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทยในการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ในรอบแรกจำนวน 1,400 รายที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และค้างชำระไม่เกิน 3 งวด ซึ่งลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวครบกำหนดมาตรการการให้ความช่วยเหลือ และกลับมาชำระหนี้เป็นปกติแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคไวรัส COVID-19 ยังคงยืดเยื้อ และยังมีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้น บริษัทฯจึงยังคงมีมาตรการการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง แต่จะเลือกพิจารณาเฉพาะลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบและเข้าเกณฑ์ที่บริษัทฯกำหนด ผลจากมาตรการดังกล่าว ทำให้บริษัทฯมีรายได้จากธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรายย่อยจำนวน 333.26 ล้านบาท เติบโต 10.44%
ในด้านการจัดเก็บหนี้ แม้ว่ามาตรการล็อคดาวน์ในช่วงไตรมาส 2 ทำให้พนักงานของบริษัทฯติดข้อจำกัดในการทำงาน การเดินทางไปพบลูกค้าเพื่อติดตามหนี้ไม่ได้รับความสะดวก แต่บริษัทฯก็มีการติดตามหนี้ด้วยแนวทางอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมระดับสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) โดยลูกหนี้สินเชื่อรายย่อยที่ค้างชำระเกิน 3 งวดยังสามารถรักษาระดับ NPL เท่ากับ 4.48% ของสินเชื่อเช่าซื้อรวม
ในด้านสภาพคล่อง ในปี 2563 บริษัทฯสามารถชำระคืนหุ้นกู้ซึ่งครบกำหนดชำระในเดือนเมษายน 2563 ทั้งจำนวนเป็นเงิน 270 ล้านบาท และสามารถออกหุ้นกู้ใหม่จำนวน 149.2 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯมีกระแสเงินสดเพียงพอในการดำเนินงานตลอดปีที่ผ่านมา
สำหรับในปี 2564 แม้ว่าการบริโภคภาคครัวเรือนจะทยอยฟื้นตัว แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำตามรายได้ครัวเรือนที่ลดลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อ่อนแอ และหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ทำให้บริษัทฯต้องใช้ความระมัดระวังในการขยายสินเชื่อต่อไป บริษัทฯจะเน้นการวิเคราะห์ลูกค้าจากฐานข้อมูลบริษัทฯในการคัดเลือกลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ได้ลูกค้าที่มีคุณภาพดี หรืออยู่ในเกณฑ์ที่บริษัทฯรับได้ วางกลยุทธ์เพื่อขยายฐานลูกค้าไปในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นหลัก โดยมีมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ที่ดี ที่ประสบปัญหาในการผ่อนชำระไปพร้อมๆกัน เพื่อให้สินเชื่อเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม สร้างความยั่งยืนให้บริษัทฯ ควบคู่ไปกับการควบคุม NPL พร้อมขยายช่องทางการขายใหม่ ตลอดจนมุ่งเน้นการพัฒนาบุคคลากร เทคโนโลยี และควบคุมต้นทุนเพื่อให้บริษัทฯ เติบโตอย่างมั่นคง และยั่งยืน
คณะกรรมการ และคณะผู้บริหารของบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นที่จะบริหารงานด้วยหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีจริยธรรม คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย และคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้บริษัทฯสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม
นายพินิจ วุฒิพันธุ์ |
นายกัญญ์ณณัฏฐ์ บุญสุนานนท์ |
ประธานกรรมการบริษัท |
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร |